1990 Honda VFR400R NC30
“ตาคู่-โปรอาร์ม” เต็งหนึ่งสายปีกนก
เกิดทัน!!!…แต่ก็ได้แค่มอง มันของเล่นวัยรุ่น “มีสตังค์” ถึงแม้จะเป็นรถ “โกดัง” ทว่า ก็ใช้เงินถมอยู่ไม่น้อย ของแต่งยุ่นสารพันถูกสุมจนสวยผิดแผก สนนราคา 6-7 หมื่น ตอนนั้นมันทรงค่าราว “หกหลัก” การณ์นี้ 3 ทศวรรษล่วงมา จักรเฟืองนั้นวกกลับมา “วัยรุ่น’90” คือ “คีย์เวิร์ด” ที่หวังตามเสพ และแน่นอน NC30 คือสรรพนามของรถ “ไฟคู่-โปรอาร์ม” รถสปอร์ตแฟริ่งเต็มที่ติดโผอยู่ใน…อันดับต้น!!!
Honda VFR400 : คือซีรี่ส์ของรถมอเตอร์ไซค์เครื่องหมายของ “ฮอนด้า” ที่ใช้บล็อกเครื่องยนต์แบบ V4 ระบายความร้อนด้วยน้ำขนาด 399 ซี.ซี. ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากสนามแข่งขัน และเริ่มเป็นที่นิยมในญี่ปุ่นทันทีเมื่อวางตลาด และถือว่าสร้างกระแสของเทรนด์รถสปอร์ตขนาดกลางได้อย่างน่าชื่นชม
1st. Generation : VFR400 เจนท์แรกถูกผลิตขึ้นในปี 1986-1987 ภายใต้นิคเนมที่เรียกขานกันว่า NC21 รถรุ่นใหม่ที่ผลิตแทนที่รุ่น VF400F ซึ่งทำการผลิตออกมาใน 4 เวอร์ชัน ทั้ง R/Z/K และP ซึ่งความโด่งดังสูงสุดถูกเทไปที่รุ่น “R” (VFR400R) รถฟูลแฟริ่งที่เด่นสะดุดตาด้วยสีสันในเอกลักษณ์ของฮอนด้า น้ำเงิน/ขาว/แดง บนเฟรมหลักแบบอะลูมินัมที่ทำงานร่วมกับซัพเฟรมแบบเหล็ก สวิงอาร์มแบบแขนคู่ บนล้อแม็ก 3 ก้าน ไฟหน้าแบบเหลี่ยม คือโสตแรกที่แจ้งเกิดในบ้านเกิด
2nd. Generation : VFR400R ถูกผลิตขึ้นในปี 1987-1988 รถโมเดลแรกที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิดที่ร่วมพัฒนาระหว่าง Honda และ ELF-design และรู้จักกันในนาม NC24 ที่โดดเด่นด้วยสวิงอาร์มแบบแขนเดี่ยว (Pro-Arm) มีการยกเลิกระบบคลัตช์แบบไฮดรอลิก หันกลับมาใช้คลัตช์แบบสายเคเบิล โช้คหน้ากันชกมวยด้วยระบบ TRAC (Torque Reactive Antidrive Circuit) ทว่า มันไม่สามารถปรับตั้งค่าได้ บนล้อลายใหม่ ด้านหน้าแบบ 6 ก้าน ส่วนล้อหลัง 8 ก้าน ทว่า ยังคงเป็นรถฟูลแฟริ่งที่ใช้ไฟหน้ารูปทรงเหลี่ยมอย่างเดิม ท่อไอเสียทางด้านขวา แต่ขยับปลายไซเรนเซอร์ให้สูงขึ้น และนอกเหนือจากสีสันโรงงานแล้ว NC24 ยังมีรถรุ่นพิเศษที่ผลิตตามออกมาในปี 1988 ในสีสันของรถแข่งลาย Rothmans Replica อีกด้วย
3rd. Generation : VFR400R รุ่นถูกผลิตขึ้นในปี 1989-1992 ซึ่งรู้จักกันในนาม NC30 การเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นที่ไฟหน้าแบบ “วงกลม 2 ดวง” (Twin headlight) มีการย้ายท่อไอเสียมาไว้ทางด้านซ้ายของตัวรถ เพื่อเผยให้เห็นส่วนของสวิงอาร์มแบบ Pro-Arm ได้เด่นชัดขึ้น เครื่องยนต์มีการพัฒนาขึ้นใหม่ ให้มีความจัดจ้านมากยิ่งขึ้น รอบเครื่องยนต์ถูกขายช่วง Red-line ไว้ที่ 14,500 รอบ/นาที (เดิม 14,000 รอบ/นาที) ระบบจุดระเบิดแบบใหม่ ช่วยให้ NC30 ทำลายความเร็วใหม่ทะลุ 240 กม./ชม. (150 Mph.) ถือเป็นรถสปอร์ตขนาดกลางที่เร็วที่สุดในห้วงเวลานั้นก็ว่าได้ แถมโรงงานยังผลิตส่งออกอีกด้วย โดยเฉพาะในแถบยุโรป ซึ่งมีสีสันให้เลือกมากถึง 8 เฉดสี ทว่า ยังคงเลือกแบบพิมพ์ของรถไฟหน้าทรงเหลี่ยมให้ไป กระนั้น ก็น่าเสียดายNC30 ไลน์ผลิตสุดท้ายอยู่ในปี1992 ก่อนได้รับการแทนที่ด้วยรถสมรรถนะและบล็อกเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า และส่งมันเป็น “เรือธง” ในนามของรุ่น VFR750R (RC30)