BIKER ICONIC BRAND:VANS เกือก “เด็กบอร์ด” ถึงวัฒนธรรม 5 ทศวรรษ “โจ๋ ไฮเปอร์”
STORY : Black Jacket / SOURCE – PHOTO : https://en.wikipedia.org/wiki/Vans/ www.vans.com
...Paul จะบอกกับทีมงานและพนักงานให้เข้าใจถึงหลักการว่า…”ถ้าต้องการจะทำ VANS ให้เป็น VANS เราจะต้องรักษามาตรฐานในการผลิตเอาไว้ เพราะมาตรฐานที่ดี…คือจุดขายของ VANS”
นับย้อนกลับสู่ยุคปี ค.ศ. 1900-1965 บริษัทผลิตรองเท้าเจ้าใหญ่ๆ ในอเมริกา มีเพียง สองเจ้าเท่านั้นคือ CONVERSE RUBBER และ US. Keds (เจ้าของแบรนด์ Keds/ Pro Keds) เป็นบริษัทที่ได้รับการกล่าวว่า “ผลิตรองเท้าที่สามารถบ่งบอกถึงความเป็นอเมริกันชนได้ดีที่สุด” เพราะมีความทนทาน มีการออกแบบที่สวยงามแถมราคายังถูก จึงทำให้ได้รับความนิยมอย่าง มาก ถึงขนาดที่ว่าเวลาเราเดินไปไหนก็จะต้องเห็นคนใส่รองเท้าสองยี่ห้อนี้ในชีวิตประจำวัน จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนอเมริกาไปเลย
จนกระทั่งปี1966 รองเท้ายี่ห้อหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายมาเป็นรองเท้าระดับตำนานจนถึงทึกวันนี้ รองเท้าสุดแนวในชื่อ “VANS” ได้ถือกำเนิดขึ้นจากชายผู้มีความรักและชื่นชอบรองเท้า ซึ่งเขาต้องการผลิตรองเท้าที่มีรูปแบบเป็นของตัวเอง เน้นความทนทานต่อทุกสภาพการใช้งานและราคาต้องไม่แพง…“Paul Van Doren” บิดาของ “แวนส์” ก่อนที่เขาจะมาผลิตรองเท้าที่เป็นยี่ห้อของตัวเอง “Paul” ซึ่งทักษะจากที่เขาทำงานอยู่ในโรงงานผลิตรองเท้าชื่อ “Randolph Rubber” ที่ผลิตรองเท้ามากว่า 20 ปี ประสบการณ์ที่นี่เป็นประโยชน์กับเขาอย่างมากในเวลาต่อมาเมื่อ Paul มีความตั้งใจที่จะผลิตรองเท้าในแบบของตนเอง และในปีนี้เองบริษัท “Van Doren The Rubber” บริษัทที่มีความชำนาญในด้านการผลิตรองเท้า…ก็…ได้ถือกำเนิดขึ้น จากการรวบรวมผู้ที่มีความสามารถ มากประสบการณ์ ในด้านต่างๆ ที่มีความต้องการเดียวกันคือ “ผลิตรองเท้าที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง” ซึ่งแรงงานที่เขาหาได้ตอนนั้นก็คือ Paul Van Doren ผู้ชำนาญการด้านการตัดเย็บและผลิตรองเท้า, Jim Van Doren (พี่ชาย Paul)ผู้ชำนาญการด้านเครื่องจักรในการผลิต และ Serge D’Ella และGordy Lee ผู้ชำนาญการด้านการออกแบบ
ทั้งหมดคือจักรเฟืองในการทำให้รองเท้าVANS มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนโลกจนถึงวันนี้ ...Paul ได้ทำการสั่งซื้อเครื่องจักรมาสร้างโรงงานแห่งแรกขึ้นที่แคลิฟอร์เนีย “Jim Van Doren” ตอนนั้นอาศัยอยู่ที่ Costa Mesa รับอาสาทำแม่พิมพ์รองเท้าต้นแบบให้กับVANS ด้วยตัวเองโดยได้ออกแบบแม่พิมพ์รองเท้าผู้ชายขึ้นเป็นแบบแรกและของเด็กชายในเวลาต่อมา โดยJim ตั้งชื่อแม่พิมพ์ว่า “the waffle sole” ซึ่งมันเหมือนกับลายของขนมวัฟเฟิลนั่นเองในการเริ่มผลิตรองเท้าในตอนแรกนั้นเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะ Paul เป็นช่างทำรองเท้า ไม่ใช่นักบัญชีและการตลาด แต่เขาต้องเรียนรู้ ต้องเริ่มทำเองทุกขั้นตอนในระบบธุรกิจที่เขาเองได้เริ่มขึ้น การตลาดในตอนแรกเป็นแบบ “ขายตรง” เพราะเขาไม่ต้องการให้ใบสั่งสินค้ามาเป็นตัวกำหนดทิศซึ่งจะมาบั่นทอนจินตนาการของทีมงาน บ่อยครั้งที่ Paul จะบอกกับทีมงานและพนักงานให้เข้าใจถึงหลักการว่า…“ถ้าต้องการจะทำ VANS ให้เป็น VANS เราจะต้องรักษามาตรฐานในการผลิตเอาไว้เพราะมาตรฐานที่ดี คือจุดขายของ VANS”
16 มีนาคม1966 VANS STORE แห่งแรกได้เปิดขึ้นที่ 704E Broadway ใน Anaheim, California 6 เดือนแรกที่ VANS เปิดทั้งหมด 10 สาขา แต่ยอดขายบอกว่า VANS กลับขาดทุนไป 6 สาขา เขายังไมท้อ เดินหน้าเปิดอีก 20 สาขาในอีก 25 สัปดาห์ต่อมา คำถามที่ว่า…ทำไมถึงเปิดเยอะ…??? นั่นเป็นเพราะ Paul ต้องการ “เพิ่มรายรับ” จากการขายรองเท้าใน “หลายช่องทาง” แต่เน้นประหยัดเรื่องของพนักงาน ซึ่งผู้จัดการสาขาคนแรกก็คือเมียของ Paul นั่นเอง ในขณะที่พนักงานพาร์ททามคนแรกคือ Kathy Van Doren ก็เป็นลูกสาวของเขา แถมตอนนั้น Steve Van Doren ลูกชายของเค้า ซึ่งต่อมากลายมาเป็นผู้ที่ดูแลกิจการในเวลาต่อมาก็มีอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น ก็ต้องหยุดสนุกกับชีวิตวันเด็ก จะต้องมาช่วยทำงานที่สโตร์ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง ในขณะที่ตัวของ Paul เอง จะออกไปสำรวจหาทำเลทองเพื่อที่จะเปิดสาขา…แห่งใหม่!!!
ทศวรรษที่ 70 “สเก็ตบอร์ด” กีฬาสุดฮิตและมันส์ถูกใจวัยรุ่น
“ยุคเด็กบอร์ด” ได้รับความนิยมอย่างมากในทุกแห่งของอเมริกา แต่เป็นการเล่นเพียงแค่ไสไป-มาแค่นั้นจนกระทั่งมี “แก๊งค์ยอดมนุษย์” (สมัยนั้นเรียกสายสตันท์ว่าเหล่ายอดมนุษย์) ที่คลั่งไคล้และบูชาความตื่นเต้นเป็นชีวิตจิตใจ ท่วงท่าลีลาในการเล่นแปลกๆ สถานที่ท้าทายถูกคิดค้นและแสวงหามาสนองความต้องการอย่างไม่หยุดหย่อน รูปแบบของ Skateboard ทนทานและมีสีสันสวยงามฉูดฉาด เสื้อผ้า-หน้า-ผม ของ “เด็กบอร์ด” มีแนวทางเป็นของตัวเอง จนกลายเป็นต้นฉบับของคำว่า “STREET WEAR FASHION”
ทุกอย่างดูดีและเข้าท่าไปซะหมดหมด เว้นแต่ “เกือก” เจ๋งๆ…ในตอนนั้นรองเท้าสเก็ตที่ใส่เล่นจริงๆ นั้นไม่มี ก็หามาใส่กันตามมีตามเกิดPaul Vans Doren เห็นช่องทางทำมาหากินของขึ้นมาลางๆ เค้า คิดว่าถ้าหากอยากอยู่บนเส้นทางของตลาดรองเท้า เขาจะต้องเป็นผู้นำในตลาด รองเท้าสเก็ตก่อน เพราะตอนนั้น CONVERSE RUBBER ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินด้านรองเท้าบาสเก็ตบอล ส่วน US. KEDS ก็หันไปจับตลาดรองเท้าแนวบ้านๆ ที่ใส่สบาย ถ้าจะไปขอแบ่งพื้นที่ตรงนั้น Paul ก็สบช่องรองเท้าสเก็ตเนี่ยแหละไร้คู่แข่ง 1975 Pual ผุดไอเดียจับนักสเต็กตัวพ่อ Tony Alva, Stacy Peralta ออกแบบรองเท้าเจ๋งๆ สำหรับเล่นบอร์ดโดยเฉพาะ จนเกิดเป็นรุ่น #95 หรือที่รู้จักกันดีในนามของรุ่น Era ที่เบา ทนทาน และเด่นที่พื้นที่หนึบติดแผ่นบอร์ด ที่ช่วยให้พวกเขาเหล่านั้นใช้พรสวรรค์และความห่ามได้อย่างเต็มที่ จนมีวลีฮิตติดปาก “ยี่ห้อนี่แหละ…เจ๋งสุดตั้งแต่เล่นบอร์ดมา” ซึ่งต่อมา 1976 ได้มีการพัฒนาตามออกมาอีกหลายรุ่น อาทิ “Authentic”… “Slip-on” รองเท้าที่ฮิตที่สุดสำหรับวงการ BMX เพราะมันไม่มีเชือกร้อย เพื่อตัดปัญหาสายที่มักเข้าไปพันกับขาปั่นของจักรยาน… “Old Skools” รวมถึง “Sk8-Hi” ซึ่งล้วนแต่เป็นรุ่นท็อปฮิตทั้งสิ้น ซึ่งระหว่างั้น Vans ได้ข้อตกลงกับกองทัพ ผลิตรองเท้าบูทสายลุย ที่เด่นด้วยน้ำหนักเบา ทำจากผ้าแคนวาส พื้นยาง สำหรับภาระกิจของ U.S. Air Force อีกด้วย
Vans ในยุคต้น ไม่มีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของ ในขณะที่คู่แข่งอย่าง
NIKE (ภาษากรีกแปลว่าชัยชนะ) รองเท้ากีฬาที่ถูกเสมอ (สัญลักษณ์เครื่องหมายถูก) กระทั่ง ส่วน Adidas ใช้รูปใบไม้ 3 แฉก (เริ่มใช้ในปี 1949)…Vans เกิดอยากมีกะเค้ามั่ง Paul ชอบดนตรีแจ๊ส เสียงบีทของเครื่องดรตรีแจ๊ส (JaZZ Stripe) “นี่แหละ…โลโก้เรา เส้นสายสนุกสนานเหมือนดนตรีแจ๊ส” JaZZ Stripe จึงได้รับเกียรติให้แปะลงไปบนรองเท้า Vansรุ่น #36 (Old Skool และ sk8) ที่วางขายครั้งแรกในปี 1977… Vans แทบไม่เปลี่ยนแบบการผลิตเลย รุ่นอมตะยังคงได้รับการผลิตตามแบบพิมพ์ดั้งเดิม มีเฉพาะสีสันและลวดลายในผ้าพิมพ์เท่านั้นที่เปลี่ยนไปตามวัฒนธรรมเสพของ “โจ๋ไฮเปอร์” ที่มักอยู่นิ่งไม่เป็น สมกับสโลแกนของ Vans ที่ว่า Vans…Off The Walls…!?!?!