BMW R1200R “Spitfire” ผลงานการแต่งจาก VTR Customs
BMW R1200R “Spitfire”
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากมายกับผลงานแต่ง R 1200 R สองคันแรกของเรา ทั้ง “Goodwood 12” และ “Eddie 21” ซึ่งถูกนำไปลงในบทความของแม็กกาซีนต่างๆ รวมทั้งงานแสดงรถคัสตอมที่ใหญ่ที่สุดของโลก
BMW R1200R “Spitfire”
เราจึงได้ตัดสินใจที่จะแปลง R 1200 R อีกครั้ง และครั้งนี้ เรามีเป้าหมายสำคัญที่ชัดเจนที่สุด นั่นคือ มอเตอร์ไซค์คัสตอมคันนี้จะต้องแปลกแหวกแนวยิ่งกว่าที่เคยผ่านมา นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือ Amelie จะต้องเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์คัสตอมคันนี้อีกครั้ง Amelie เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วในฐานะ “นักขี่รุ่น Factory” ของเรา และจากความหลงใหลในมอเตอร์ไซค์นี้เองที่นำไปสู่มิตรภาพที่ลึกซึ้งและแท้จริง ความเป็นกันเอง และเสน่ห์ตามธรรมชาติของ Amelie มีส่วนสำคัญที่ทำให้มอเตอร์ไซค์ของเราได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เราสนุกกับงานนี้เป็นอย่างมากในฐานะของสมาชิกทีม VTR Customs Race
Dani Weidmann ซึ่งเคยเข้าร่วมแข่งขันในรายการ Sultans of Sprint www.sultansofsprint.com มาตั้งแต่เริ่มต้นกับมอเตอร์ไซค์คัสตอมในชื่อ POLIZIA UNO ได้รับรู้เกี่ยวกับแนวคิดในการเพิ่มรุ่น “Factory Class” ด้วยตัวของเขาเองในปี 2018 ซึ่งในรุ่นนี้จะสามารถส่งมอเตอร์ไซค์ที่ใช้เครื่องยนต์ 2 สูบสมัยใหม่เข้าร่วมแข่งขันได้ (ซึ่งในรุ่น “Freak Class” จะไม่อนุญาตให้ส่งเข้าร่วม) ถึงแม้ว่าเราจะเคยประสบความสำเร็จอย่างสูงในรุ่น Essenza Class (ได้รางวัลที่ 2 ในส่วนของการออกแบบ และได้รางวัลที่ 3 ในส่วนของการจัดอันดับนักขี่) แต่เราก็ตัดสินใจที่จะร่วมงานกับ BMW Motorrad ในการแข่งขันรุ่น Factory Class (รุ่นที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาใหม่) ซึ่งประกอบด้วยการแข่งขันอย่างน้อยสี่รอบ และมีผู้เข้าแข่งขันที่โหดยิ่งขึ้นเข้ามาร่วมสร้างสีสันในรุ่นนี้ ดังนั้น เราจึงลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันในรุ่น Factory Class อย่างเป็นทางการโดยใช้มอเตอร์ไซค์ของ BMW Motorrad และนอกจาก BMW Motorrad แล้ว โชคชะตามยังพาให้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ TW Steel (บริษัทผู้ผลิตนาฬิกาข้อมือ) ซึ่งกำลังทำนาฬิกาข้อมือรุ่นพิเศษ “Son of Time” ที่ได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจากมอเตอร์ไซค์คัสตอมอีกด้วย เราจึงกลายเป็นทีมแข่งมอเตอร์ไซค์คัสตอมของ BMW Motorrad อย่างเป็นทางการ และมีสปอนเซอร์รองคือ TW Steel และผู้สนับสนุนอีกหลายรายจากในวงการ (เช่น ROKKER Company, Magura, Parts World เป็นต้น)
งานออกแบบมอเตอร์ไซค์คัสตอมคันนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวของ Dani Weidmann เอง ซึ่งทำงานอยู่ในวงการอากาศยาน และเป็นช่างยนต์ที่ดูแลเครื่องบินจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมไปถึงแบบร่างจากสตูดิโอด้านการออกแบบโดยเฉพาะจากฝรั่งเศส (Barbara Design) สัตว์ร้ายที่มีรูปทรงเหมือนกับตอร์ปีโดคันนี้ถูกหุ้มด้วยอะลูมิเนียมทั้งคัน ซึ่งทำให้นึกถึงเครื่องบินสมัยก่อนขึ้นมาทันที อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ “มอเตอร์ไซค์คัสตอมคันนี้” ถูกออกแบบมาสำหรับการแข่งขันที่น่าตื่นเต้น และอลังการโดยเฉพาะ ไม่ใช่สำหรับเอาไว้จอดโชว์เฉยๆ ในห้องนั่งเล่น หลังจากทุกคนได้ยินคำว่า “อลังการ” ชื่อของมอเตอร์ไซค์คันนี้ก็ถูกตั้งขึ้นตามมา เราอยากให้มอเตอร์ไซค์ของเราพ่นเปลวไฟออกมาจากท่อไอเสียได้จริงๆ เหมือนกับที่เครื่องยนต์สูบดาว (Radial Engine) ทำตอนสตาร์ท ซึ่งนั่นกลายเป็น ที่มาของชื่อ “Spitfire”
ไอเดียของเราอาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ความท้าทายนั้นอยู่ที่การทำไอเดียให้กลายเป็นของจริง ซึ่งมอเตอร์ไซค์คันนี้เป็นงานที่ละเอียด และซับซ้อนมากที่สุดเท่าที่เราเคยทำมา ความท้าทายอย่างหนึ่งอยู่ที่การออกแบบที่ซับซ้อนเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นสายที่จะทำให้ตัวรถดู “เทอะทะ” รวมไปถึงเส้นสายบางจุดที่มีความลึกมาก (สูงประมาณ 90 ซม.) และปัญหาด้านเทคนิคอีกหลายๆ อย่างที่มาพร้อมกับการออกแบบนี้ ในฐานะที่เราเป็นทีมแต่งจากสวิส เราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องของความเป็นของแท้และรายละเอียดต่างๆ อย่างมาก ดังนั้นเราเลยนำเข้าแผงมาตรวัดของแท้จากค็อกพิทของเครื่องบินรบ “Spitfire” จากสมัยสงครามโลกครั้งที่สองจากอังกฤษ นอกจากนี้เรายังหาสวิตช์สตาร์ทจากของเครื่องบิน และชิ้นส่วนปลีกย่อยต่างๆ อีกมากมาย รวมทั้งยังคิดไอเดียเก๋ๆ ที่จะแสดงความเป็น “เมนูพิเศษของเอมี” โดยเฉพาะไว้อีก และในขณะเดียวกันเราก็ยังต้องดูแลงานขึ้นรูปอะลูมิเนียมที่ประณีตเป็นพิเศษ ซึ่งเราทำทุกขั้นตอนเองภายในโรงงานของเรา นอกจากนี้เรายังต้องหาวิธีแก้ปัญหาทางเทคนิคต่างๆด้วยเช่นกัน (เช่น จะทำอย่างไรให้สามารถหั่นตะเกียบหน้าให้สั้นลงมากกว่า 30 ซม. แต่จะต้องยังคงใช้ควบคุมรถได้ตามปกติ)
เครื่องยนต์ยังคงเดิมเพื่อให้ตรงตามข้อกำหนดของรุ่น Factory Class ซึ่งมีการกำหนดอัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลังสำหรับรุ่นนี้เอาไว้ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในการแข่งขันเนื่องจากผู้เข้าร่วมการแข่งขันค่อนข้างหลากหลาย ส่วนอื่นๆนอกจากเครื่องยนต์พื้นฐาน และสวิงอาร์มได้ถูกดัดแปลงให้ และปรับปรุงให้ “พอดีกับตัวรถ”โดยโครงด้านหน้ามีการเพิ่มความยาวอีก 20 ซม. แต่ปรับให้เตี้ยลง 20 ซม. ท่อคอมีการปรับให้สั้นลง ชุดอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดถูกวางตำแหน่งใหม่ เป็นต้น
เพราะสมาชิกทุกคนในทีมมีพื้นฐานจากการแต่งรถสำหรับแข่งขัน เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ได้แค่อยากจะสร้างรถขึ้นมา เพื่อให้ได้ชื่อว่าเคยเข้าร่วมการแข่งขันเท่านั้น แต่เรายังต้องการให้นักขี่ประสบการณ์สูงอย่าง Amelie ได้สัมผัสกับชัยชนะจากอานที่นั่งของมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านการแต่งมาอย่างละเอียด และจากประสบการณ์อันยาวนานอย่าง “Spitfire”
เปลือกหุ้มมอเตอร์ไซค์คันนี้ได้ถูกนำไปแสดงในงาน Swiss Moto เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พร้อมทั้งสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชม
ข้อมูลจำเพาะ
- ใช้พื้นฐานจาก BMW R 1200 R รุ่นปี 2017 พร้อมระบบควิกชิฟท์ ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน และโหมดการขับขี่ PRO
- อะลูมิเนียมขึ้นรูปด้วยมือโดย VTR Customs (Marcel Brauchli)
- ที่นั่ง: ผลิตด้วยมือโดย VTR Customs และ Yves Knobel
- ล้อ และเบรก: มาตรฐาน
- ปั๊มเบรก: Magura HC3
- แฮนด์: ABM Vario Clip แบบคัสตอม
- ระบบไอเสีย: ผลิตด้วยมือโดย VTR Customs รวมถึงระบบพ่นเปลวไฟ (แบบเปิด)
- เครื่องยนต์ ชุดเกียร์ และระบบส่งกำลัง: มาตรฐานของซีรี่ส์
- โช้คอัพหลัง: ไม่มี (เหล็กกล้าติดตาย)
- ตะเกียบหน้า: ชิ้นส่วนมาตรฐานของ BMW แต่หั่นสั้นลงมากกว่า 30 ซม. – ระยะการเคลื่อนที่ของระบบกันสะเทือน 3 ซม.
- แผงมาตรวัด: แผงมาตรวัดของแท้จากค็อกพิทของเครื่องบินรบสมัยสงครามโลกครั้งที่สองรุ่น Spitfire จากกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร
- ที่พักเท้า: VTR Customs
- ถังน้ำมันเชื้อเพลิง: ผลิตด้วยมือโดย VTR Customs (ปริมาตรความจุประมาณ 5 ลิตร) ติดตั้งใต้ที่นั่ง
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย : Motorcycle Magazine
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ Motorcycle Magazine