Ducati Hypermotard 698 Mono โมตาร์ดตัวซิ่งขุมพลังสูบเดี่ยว Superquadro
![](https://motorcycmagazine.grandprix.co.th/wp-content/uploads/2023/11/Ducati-Hypermotard-698-Mono-6-780x470.jpg)
Ducati เปิดตัว Hypermotard 698 Mono มาพร้อมเครื่องยนต์ Superquadro Mono ซึ่งเป็นขุมพลังสูบเดียวสมรรถนะสูง ที่มีพื้นฐานมาจากเครื่องยนต์สูบคู่ของ 1299 Panigale
พละกำลังสูงสุดของเครื่องยนต์ที่ทำได้ คือ 77.5 แรงม้า ที่ 9,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 63 นิวตันเมตร ที่ 8,000 รอบต่อนาที ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับเครื่องยนต์สูบเดี่ยว ภายในห้องเผาไหม้ยัดลูกสูบขนาด 116 มม. ไอดีไทเทเนียม วาล์วไอเสียทำจากเหล็ก และวาล์วก้านลูกสูบแบบเดสโมโดรมิก ล้วนสืบทอดมาจากเทคโนโลยี MotoGP ทั้งสิ้น และเมื่อติดตั้งท่อไอเสีย Termignoni สำหรับรถแข่ง สามารถสร้างกำลังเพิ่มขึ้น 7 แรงม้า เป็น 84.5 แรงม้า
ด้านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่จะเข้ามาช่วยให้ผู้ขับขี่มือใหม่และผู้มีประสบการณ์สามารถเข้าถึงประสบการณ์การขับขี่สูงสุดด้วยระบบ ABS Cornering พร้อมการตั้งค่าพิเศษสำหรับการขับขี่ในสนามแข่ง, Ducati Traction Control (DTC), Ducati Wheelie Control (DWC), Engine Brake Control (EBC), Ducati Power Launch (DPL) และ Ducati Quick Shift (DQS) สองทิศทางขึ้น-ลง ทั้งหมดช่วยให้เข้ากับสไตล์การขับขี่ของแต่ละคนได้อย่างง่ายดาย
ตัวรถถูกออกแบบมาเพื่อให้ตอบสนองต่อการควบคุมที่แม่นยำ ผสมผสานกับความคล่องตัวแบบซูเปอร์โมตาร์ด ด้านดีไซน์สวยงามแบบรถแข่ง มีความเรียบง่าย ดุดัน และน้ำหนักเบา เข้ากับเส้นสายที่สะอาดตาและซับซ้อน อันเป็นเอกลักษณ์ของ Ducati มีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่น เช่น เบาะนั่งสูงเส้นสายเรียบแบน บังโคลนหน้าทรงสูง บั้นท้ายเฉียบคม และป้ายทะเบียนด้านหลังที่ช่วยเสริมรูปลักษณ์ที่เสริมรูปลักษณ์คมเข้มมากยิ่งขึ้น
แชสซีของ Hypermotard 698 Mono เน้นย้ำถึงความกะทัดรัดและความเบา โดยอาศัยเฟรมบังตา ล้ออัลลอยด์หล่อ จานเบรกน้ำหนักเบา และตะเกียบ Marzocchi แบบปรับได้ สวิงอาร์มสองด้าน ออกแบบมาเพื่อการเชื่อมต่อระบบกันสะเทือนแบบก้าวหน้า ช่วยให้การควบคุมแม่นยำ ตำแหน่งการขี่ของจักรยานยนต์ได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการขี่แบบสปอร์ต โดยให้ความยืดหยุ่นสำหรับสไตล์การขี่ที่แตกต่างกัน
Hypermotard 698 Mono มีหน้าจอแสดงผล LCD ขนาด 3.8 นิ้ว แสดงผลข้อมูลที่จำเป็นให้กับผู้ขับขี่ รวมถึงมาตรวัดรอบเครื่องยนต์แบบแท่ง ความเร็ว บอกตำแหน่งเกียร์ และโหมดการขับขี่ ส่วนไฟ LED สีเขียวบ่งบอกถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเปลี่ยนเกียร์ ในขณะที่ไฟ LED สีแดง ส่งสัญญาณการแทรกแซงของลิมิตเตอร์ ส่วนโหมดการขับขี่มี 3 โหมด ได้แก่ High Power Mode, Mid Power Mode และ Low Power Mode ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ตามความต้องการและสภาวะการขับขี่ของตนเองได้
เรื่อง : ธราภณ วชิระธรกุล
เรียบเรียงข้อมูลโดย : Motorcycle Magazine
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ Motorcycle Magazine