2025 Honda CB1000 Hornet ซูเปอร์เนเคิดไบค์รุ่นใหม่ เปิดตัวแล้วในยุโรป
เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ 2025 Honda CB1000 Hornet หลังจากเผยโฉมตัวโปรโตไทป์ครั้งแรกในงาน EICMA เมื่อปี 2023 โดยรุ่นใหม่นี้มีถึง 2 เกรดให้เลือก
2025 Honda CB1000 Hornet ทั้งสองเกรดกับรุ่น Standard กับรุ่น SP มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1,000 ซีซี 4 สูบเรียง 16 วาล์ว DOHC ในรุ่นเริ่มต้นสามารถผลิดกำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 11,000 รอบต่อนาที ทำแรงบิดสูงสุด 104 นิวตันเมตร ที่ 9,000 รอบต่อนาที
ในขณะที่เวอร์ชั่น SP ทำกำลังได้สูงถึง 155 แรงม้า ที่ 11,000 รอบต่อนาที เค้นแรงบิดสูงสุด 107 นิวตันเมตร ที่ 9,000 รอบต่อนาที โดยอาศัยระบบไอเสียที่มีวาล์วควบคุมด้วยเซอร์โว เปิดการทำงานที่ 5,700 รอบต่อนาที
เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ของ CB1000R ที่นำมาจาก CBR1000RR Fireblade รุ่นเก่า สามารถผลิตแรงม้าได้ 189 แรงม้าที่ 13,000 รอบต่อนาที และแรงบิด 116 นิวตันเมตรที่ 11,000 รอบต่อนาที ทำให้เครื่องยนต์ของซูเปอร์เนเคิดรุ่นใหม่นี้ มีขีดจำกัดรอบต่อนาทีที่ต่ำกว่า และผลิตกำลังสูงสุดและแรงบิดที่รอบต่อนาทีที่ต่ำกว่า
กำลังของเครื่องยนต์ถูกส่งผ่านไปยัง assist and slipper clutch และระบบส่งกำลัง 6 สปีด ซึ่งนำมาจาก CBR1000RR รุ่นก่อนหน้า โดยในรุ่น CB1000 SP มีระบบควิกชิฟเตอร์เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และเป็นตัวเลือกเสริมสำหรับรุ่นมาตรฐาน
Honda CB1000 Hornet โมเดลปี 2025 มาพร้อมกับโครงสร้างตัวถังแบบทวินสปาร์ที่ออกแบบมาให้มีความแข็งแรงสูง โดยมีค่าความแข็งในการบิดเพิ่มขึ้นจากรุ่น CB1000R เดิมถึง 70% แม้จะมีระยะฐานล้อและองศาการเอียงที่ใกล้เคียงกัน แต่การกระจายน้ำหนักของตัวรถของรุ่นใหม่นี้ ถูกปรับให้มีน้ำหนักส่วนหน้าอยู่ที่ 51.2% และน้ำหนักส่วนหลังอยู่ที่ 48.8% ในขณะที่รุ่น SP มีน้ำหนักส่วนหน้าอยู่ที่ 50.9% และน้ำหนักส่วนหลังอยู่ที่ 49.1% ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า โดยการปรับตำแหน่งของเครื่องยนต์ให้เลื่อนไปด้านหน้า พร้อมกับส่วนประกอบอื่นๆ เช่น โช้คอัพหลังและแบตเตอรี่ นอกจากนี้ กล่องอากาศยังถูกจัดวางไว้เหนือหัวกระบอกสูบของเครื่องยนต์
ทั้งรุ่นมาตรฐานและรุ่น SP มาพร้อมโช้คอัพหน้าแบบหัวกลับ Showa SFF-BP ขนาด 41 มิลลิเมตร สามารถปรับตั้งค่าการทำงานได้หลากหลาย ทั้งค่าความหนืด ระยะยุบตัว และการคืนตัว
สำหรับโช้คอัพหลัง รุ่นมาตรฐานใช้โช้คอัพเดี่ยว Showa ที่สามารถปรับตั้งค่าระยะยุบตัว และการคืนตัวตัวได้ ส่วนรุ่น SP ได้รับการอัพเกรดด้วยโช้คอัพหลัง Öhlins TTX36 ที่สามารถปรับตั้งค่าได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งทั้งค่าความหนืด ระยะยุบตัว และการคืนตัว
ด้านระบบห้ามล้อของทั้งสองรุ่น ติดตั้งคาลิปเปอร์เบรกหน้าแบบเรเดียลเมาท์ 4 พอร์ต จับคู่กับดิสก์เบรกขนาด 310 มิลลิเมตร อย่างไรก็ตาม รุ่นมาตรฐานใช้คาลิปเปอร์เบรกหน้าและหลังจาก Nissin ในขณะที่รุ่น SP ได้รับการอัพเกรดด้วยคาลิปเปอร์เบรกหน้า Brembo Stylema ส่วนด้านหลังเป็นของ Nissin จับคู่กับดิสก์เบรกขนาด 240 มิลลิเมตร และระบบป้องกันล้อล็อก ABS แบบสองช่องสัญญาณ
ส่วนหน้าจอแสดงผลเป็นแบบสีชนิด TFT ขนาด 5 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอปพลิเคชัน Honda RoadSync เพื่อแสดงข้อมูลการขับขี่และนำทางแบบเลี้ยวต่อเลี้ยว มีสวิตช์ควบคุมแบบ 4 ทิศทางพร้อมไฟแบ็คไลท์ติดตั้งบนแฮนด์บาร์เพื่อความสะดวกในการใช้งาน และเมื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์บลูทูธ ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการโทรและฟังเพลงได้อย่างง่ายดาย
ทั้งสองรุ่นมีโหมดขับขี่ 5 แบบ ได้แก่ Rain, Standard, Sport และอีกสองโหมดสำหรับการตั้งค่าของผู้ขับขี่เอง ส่วนระบบควบคุมการยึดเกาะถนน มีมาให้ถึง 2 ระดับ, ระบบควบคุมเอนจิ้นเบรก และระบบป้องกันล้อหน้ายก แต่ไม่มี IMU สำหรับระบบ ABS ขณะเข้าโค้งและระบบควบคุมการยึดเกาะถนน
ไฟส่องสว่างรอบคันแบบ LEDไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์คู่ และฟังก์ชันสัญญาณหยุดฉุกเฉิน (ESS) ที่จะกะพริบไฟโดยอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน
ราคาจำหน่ายสำหรับรุ่นมาตรฐาน อยู่ที่ 8,995 ปอนด์ หรือประมาณ 388,000 บาท และสำหรับรุ่น SP ตั้งราคาอยู่ที่ 9,995 ปอนด์ คิดเป็นเงินไทยราว 431,400 บาท
เรื่อง : ธราภณ วชิระธรกุล
เรียบเรียงข้อมูลโดย : Motorcycle Magazine
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ Motorcycle Magazine