ชวนากร บุญใส(นอยไดโว่) จากวัยรุ่นที่ทำตัวเหลวไหลไปวันๆ สู่เจ้าของธุรกิจเงินล้านในวัยเพียง 21 ปี!!!!
วัยรุ่นช่วงชีวิตที่หลายคนต้องเคยผ่านมาหรือตอนนี้กำลังเป็นอยู่ ผู้ใหญ่หลายคนมักพูดว่าชีวิตในช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ควรให้การดูแลและใส่ใจเด็กในช่วงนี้เป็นพิเศษ อย่างคอลัมน์ Biker Story ของเราในวันนี้ได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกับวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่ผ่านมาชีวิตก็ไม่ได้ต่างจากวัยรุ่นทั่วๆไป คือ ขอเงินที่บ้านใช้ ไม่ค่อยจะสนใจเรียน ติดเพื่อน เล่นเกมส์ หรือคนทั่วๆไปในสังคมอาจจะเรียกกันว่าเด็กแว๊นซ์ก็ได้ แต่เชื่อกันไหมครับว่าวัยรุ่นอายุเพียง 21 ปีคนนี้ มีรายได้ต่อเดือนด้วยธุรกิจของตัวเองนับล้านบาท และวันนี้เราจะพาทุกท่านไปนั่งพูดคัยกับวัยรุ่นคนนี้กัน ชวนากร บุญใส หรือที่หลายๆคนรู้จักกันดีในชื่อ “นอยไดโว่” นั่นเอง……
Q : แนะนำตัวเองหน่อย ?
นอยไดโว่ : สวัสดีครับ ชวนากร บุญใส ชื่อเล่น นอย หรือที่เพื่อนๆมักจะเรียกกันว่า นอยไดโว่ ปัจจุบันอายุ 21 ปี ครับ
Q : ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง ?
นอยไดโว่ : ตอนนี้เพิ่งจะเปิดร้านเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ ก็จะขายพวก หมวกกันน็อค อุปกรณ์ไรดิ้งเกียร์ต่างๆ เซอร์วิสรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป แต่หลักๆเลยคือจะเป็นแบรนด์ท่อของตัวเองคือแบรนด์ ไดโว่ ครับ
Q : เริ่มขี่รถมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
นอยไดโว่ : เริ่มขี่มาตั้งแต่ ม.4 ครับ รถคันแรกตอนนั้นเป็น Kawasaki Ninja 250 เป็นรถของคุณพ่อ แอบขโมยของคุณพ่อไปขี่ จนวันหนึ่งคุณแม่รู้เข้าแม่ก็ว่าใหญ่เลยบอกไม่ให้ขี่แล้ว แม่จะเอาไปขาย ผมก็พูดขอกับคุณแม่ดีๆว่าผมอยากขี่ อย่าขายเลย ส่งผมไปเรียนขับขี่ก็ได้เพราะเราอยากขี่จริงๆ จนคุณแม่ก็ยอมให้ขี่ได้ พอผมเข้าเรียนมหาลัยปี 1 ก็ขอให้แม่ดาวน์ Kawasaki Z800 ให้ตอนนั้นบอกแม่ไปว่าคันเก่ามันตามเพื่อนไม่ทันเลยได้เป็น Z800 มา แต่ขี่อยู่ได้ประมาณเดือนกว่าๆ ก็เกิดอุบัติเหตุณ์รถชนพังยับทั้งคันจนต้องขายซาก เลยทะเลาะกับที่บ้านจนผมออกจากบ้านมาแม่ก็พูดว่า “ลองไม่มีแม่สักวันจะอยู่ยังไง” นี่เลยเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนให้ผมเริ่มต้นทำงาน
Q : ออกจากบ้านมาเอาเงินที่ไหนใช้จ่าย ?
นอยไดโว่ : พอออกจากบ้านมาเราก็คิดว่าจะเอาเงินที่ไหนไปเรียน เพราะทะเลาะกับที่บ้านขอเงินที่บ้านไม่ได้แล้ว แล้วผมเป็นคนที่ไม่ชอบง้อ เลยคิดว่าเดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดู ผมเลยไปนั่งปรึกษารุ่นพี่ว่าจะทำยังไงดี รุ่นพี่เลยบอกว่างั้นเอาของแต่งพี่ไปขายเดี๋ยวจะแบ่งกำไรให้ ตอนนั้นผมขายเป็นท่อรถมอเตอร์ไซค์ทุกแบรนด์ทั้งหมดเลย โดยสร้างเพจเป็นของตัวเองชื่อว่า “Daivo Racing Shop” แล้วก็ขายมาเรื่อยๆ
ตอนนั้นขายท่อชิ้นนึงเราได้ประมาณ 300 – 500 บาท ซึ่งเมื่อก่อนที่บ้านให้เงินผมไปเรียนอาทิตย์ละ 1,500 บาท ซึ่งเงินที่ผมขายท่อมาได้มันเริ่มเยอะกว่าเงินที่ทางบ้านเคยให้แล้ว แต่ตอนนั้นก็กลับมาคุยกับที่บ้านอีก เพราะเหมือนรูปคดีที่ผมชนออกมาสรุปว่าผมไม่ได้เป็นคนผิดแต่คู่กรณีประมาทเอง ก็เลยดีกันกับแม่แล้วผมก็กลับมาอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม ผมก็เลิกขายท่อไปกลับมาขอเงินที่บ้านใช้เหมือนเดิม
Q : แล้วธุรกิจของตัวเองเริ่มต้นได้ยังไง ?
นอยไดโว่ : หลังจากที่ผมกลับมาอยู่กับที่บ้านเหมือนเดิมแล้ว เพจทางเฟสบุคก็ยังเปิดอยู่แล้วบังเอิญว่ามันก็ยังมีคนทักเข้ามาถามอยู่เรื่อยๆ ผมเลยคิดว่าหรือจะเอาเงินจากทางนี้ด้วยทางแม่ด้วย ก็จะได้เป็นอาทิตย์ละ 3,000 บาทแล้ว ผมก็เลยขายมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งผมได้ไปรู้จักกับโรงงานที่เขาทำท่อรถเล็กขายอยู่แล้ว ผมก็เลยเข้าไปคุยว่าผมกำลังจะทำท่อเป็นทรงประมาณนี้ตอนนี้กำลังฮิตเลยในรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ เรามาลองทำเจาะตลาดกันดูไหม แต่ทุนผมมีไม่เยอะนะ พี่เขาสนใจก็เลยได้จับมือทำกันมาเรื่อยๆ จนวันนี้ก็เข้าปีที่ 3 แล้วครับกับแบรนด์ท่อ “Daivo”
Q : “Daivo” คำนี้มาจากไหน มีความหมายหรือเปล่า ?
นอยไดโว่ : จริงๆ มันเป็นคำที่ไม่มีความหมาย แล้วมันก็เกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญ ซึ่งผมก็ตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไร ตอนนั้นผมคิดว่าจะขายท่อเล่นๆ เลยคิดว่า “Daivo” มันเหมือนแบรนด์เครื่องสูบน้ำคนน่าจะติดปากได้ง่าย เรียกง่าย เอาฮาเฉยๆ แต่พอขายมาเรื่อยๆ มันก็เริ่มติดหู ก็เลยกลายมาเป็นแบรนด์ท่อไดโว่อย่างทุกวันนี้
Q : ท่อแบรนด์ Daivo จากวันแรกจนถึงวันนี้ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง ?
นอยไดโว่ : ปีแรกยอดขายยังไม่ถึงล้านตอนนั้นขายได้ประมาณเดือนละ 20 ใบ พอเข้าปีที่ 2 ก็เริ่มาเป็น 30-35 ใบต่อเดือน พอเข้าปีที่ 3 ยอดขายดีมากดีแบบก้าวกระโดด ทุกวันนี้ผมขายท่อตกเดือนละ 150 ชุด รายได้ต่อเดือนประมาณ 1 ล้านกว่าบาท ซึ่งปีนี้ผมตั้งเป้ารวมทั้งปีไว้ที่ 20 ล้านบาท
Q : เพราะอะไรที่ทำให้ยอดขายดีขนาดนี้ ?
A : ผมมองว่าตลาดรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ ทุกวันนี้มันโตมากๆ โตกว่าปีสองปีที่ผ่านมาเยอะ แล้วผมจะเน้นเจาะตลาดไปที่กลุ่มตลาดกลางๆ ก็คือกลุ่มรถ 650 ซีซี กับ 800 ซีซี ซึ่งเป็นราคาที่เขาสามารถจับต้องได้ ถ้าซื้อท่อแบรนด์นอกเลยราคาก็จะสูงขึ้นไปอีก ผมเลยเลือกเจาะตลาดกลุ่มนี้เป็นหลักซึ่งผลตอบรับที่ได้มากลับดีเกินคาด
Q : ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นวัยไหน ?
นอยไดโว่ : ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัยรุ่นประมาณ 17-18 จนถึง 35 ปี จะเยอะมาก ส่วนใหญ่ลูกค้าที่เข้ามาก็จะรู้จักหรือติดตามเรามาจากอินเทอร์เน็ต
Q : “นอยไดโว่” เริ่มเป็นที่รู้จักจากโลกอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร ?
นอยไดโว่ : ตอนนั้นผมพยายามเสนอตัวเองพาตัวเองออกงานอีเว้นท์ต่างๆ บ่อยมากเรียกว่าไปทุกที่ ที่เขาจัดงานเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ แล้วตอนนั้นผมออกรถ Honda CBR1000RR เพื่อมาโปรโมทท่อตัวใหม่ของผมพอดี คนก็จะพูดกันว่าเห้ยเด็กที่ไหนว่ะมาขี่รถตัว 1,000 ตอนนั้นเริ่มมีคนติดตาม 2-3 พันคน จนผมเปลี่ยนมาซื้อ BMW S1000RR ด้วยเงินจากการขายท่อของตัวเอง ก็เริ่มใส่ของแต่งไปประมาณ 500,000 กว่าบาท ก็มีช่องชาแนลติดต่อเข้ามาขอถ่ายรีวิวรถ แล้วปรากฏว่าบังเอิญมียอดวิวเป็นล้านวิว ทำให้ผมเริ่มมีแฟนคลับมีน้องๆติดตาม ออกไปข้างนอกก็มีคนจำเราได้ เข้ามาขอถ่ายรูป เรียกเราจำชื่อเราได้
Q : ชีวิตเปลี่ยนไปไหมหลังจากที่เริ่มมีคนรู้จัก ?
A : เปลี่ยนครับ จากที่เคยเป็นเด็กเหลวไหล เรียกว่าไม่เอาไหนเลยก็ได้ เล่นเกมส์ติดเกมส์ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเด็กที่เริ่มทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เปลี่ยนตัวเองเพื่อที่จะได้เป็นตัวอย่างที่ดี และเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆ หรือผู้ที่กำลังติดตามให้เขาชื่นชมในแบรนด์สินค้าของเรา และตัวเราเอง
Q : ตอนนี้มีสินค้าอะไรบ้างที่กำลังทำอยู่ ?
นอยไดโว่ : ตอนนี้หลักๆเลยก็จะเป็นท่อรถมอเตอร์ไซค์แบรนด์ Daivo แล้วก็จะมีเสื้อยืด ริสแบนด์ พวกกุญแจ โม่งสำหรับขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ น้ำยาขัดท่อ แล้วเร็วๆนี้จะมีอีก 2 โปรดักส์ใหม่เป็นครีมกันแดดชื่อ โรสโกลดื กับโปรเจ็คใหญ่เลยคือ ไดโว่เอ็นเนอร์จีดริงก์ ที่ผมได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องดื่มอย่างมอนสเตอร์เอ็นเนอร์จีดริงก์ คือท่อตอนนี้มีคนรู้จักอยู่แล้วผมภูมิใจผมไปไหนผมเห็นท่อของผม แต่ถ้าวันไหนที่มีโลโก้ของผมไปอยู่ในรายการแข่งระดับโลก มันจะเป็นอะไรที่เจ๋งมาก มันจะสุดยอดมากๆเลย
Q : ทุกวันนี้คิดว่าแบรนด์ Daivo ประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง ?
นอยไดโว่ : คิดว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกอันหนึ่ง ที่ผมหวังที่สุดคือเอ็นเนอร์จีดริงก์ กับแบรนด์ท่อของเราที่อยากให้มันไปถึงในระดับโลก
Q : กิจกรรมยามว่างที่นอกจากรถมอเตอร์ไซค์แล้วทำอะไรบ้าง ?
นอยไดโว่ : ผมก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่งอยู่นะครับ ถ้าไม่แต่งรถผมก็จะเล่นเกมส์ เล่นดนตรีด้วยผมชอบตีกลอง ตอนสมัยเรียนอยู่ ป.6 ผมเคยมีวงเคยลงแข่งชนะได้ถ้วยพระราชทานมาด้วย
Q : มาเรื่องหัวใจกันบ้าง ตอนนี้มีคนรู้ใจแล้วยัง ?
นอยไดโว่ : มีแล้วครับ ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนที่เบื่อง่าย เอาแต่ใจด้วย แต่เมื่อเรามีหน้าที่การงาน ผมเลยคิดว่าเราจะคบแบบเด็กๆไม่ได้แล้ว ตอนนี้ก็คบกับเอมี่มาได้ 1 ปี 9 เดือนแล้ว นานที่สุดของผมแล้ว
Q : เจอกันได้ยังไง ?
นอยไดโว่ : เจอกันทางเฟซบุคครับ ผมก็วัยรุ่นเล่นเฟซบุคไปเรื่อย ผมก็ทักไป “สวัสดีครับ” ตอนนั้นทักไปประมาณ 4-5 คนก็ไม่มีใครตอบผมมาเลย มีแต่เอมี่ที่ตอบกลับมา ก็เลยได้คุยกันมาเรื่อยๆจนทุกวันนี้
เอมี่ : ปกติเอมี่จะไม่ค่อยตอบใครในเฟซ เอมี่ว่ามันดูกว้างไปใครก็มาทักเราได้ แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คุยกับใครก็เลยตอบนอยไป ก็เลยลองคุยกัน
Q : ตลอดระยะเวลา 1 ปี 9 เดือน ที่คบกันมาประทับใจอะไรซึ่งกันและกัน ?
นอยไดโว่ : อาจจะเป็นเพราะวุฒธิภาวะของเราที่โตขึ้น เราก็อยากที่จะจริงจังกับใครสักคน เอมี่ตอนนั้นเขาก็ยังเด็กผมโตกว่าเขาปีนึง อะไรที่เอมี่ทำไม่ดีผมก็พยายามสอน พยายามบอก แล้วเขาก็ยอมปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นในเรื่องที่เราพูดไป ผมเลยคิดว่าการที่เราจะหาผู้หญิงที่เราพูดแล้วเขาฟังเรา เขายอมปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อเรา มันก็ยากนะที่จะหาเจอ ก็เลยเลือกคนนี้นี่ล่ะ
เอมี่ : จริงๆ นอยเป็นคนที่ใจร้อนมากแบบสุดยอดเลย เอาแต่ใจด้วย แล้วเราก็เป็นคนใจร้อนเหมือนกัน เหมือนร้อนมาเจอกับร้อนเราก็จะยอมเป็นฝ่ายที่เย็นลงก่อน เพราะเราเริ่มรู้แล้วว่าเถียงไปก็ไม่ได้อะไร จะอยู่กับนอยได้ต้องเป็นคนที่ใจเย็นมากๆ ถึงจะอยู่ด้วยกันได้ แต่เวลาที่อยู่กัน 2 คน นอยเขาก็จะเป็นอีกคนนึงเลยเขาจะแบบ น่ารักๆ ขี้อ้อน แล้วอีกอย่างเราก็ผ่านเรื่องอะไรที่ไม่เข้าใจกันมาเยอะ เราก็จะไม่ทำเรื่องแบบนั้นอีก ก็คือเราจะไม่ทะเลาะกันในเรื่องเดิมๆ
Q : สุดท้ายฝากมุมมองความรักของ นอย และ เอมี่ ไว้หน่อยในฐานะคู่รักวัยรุ่น คิดว่าอะไรทำให้เราอยู่ด้วยกันมาได้นานขนาดนี้ ?
นอย : ผมว่ามันอยู่ที่การเข้าใจกันและกัน สมมุติว่าเอมี่ทำผิดมา ผมก็จะเตือนแล้วก็เป็นฝ่ายให้อภัย ส่วนเวลาผมทำผิดมา เอมี่ก็จะเตือนแล้วก็บอกว่าทีหลังอย่าทำอีก ก็เหมือนต้องให้อภัยกันเข้าใจกัน
เอมี่ : อย่างเวลานอยใจร้อนเอมี่ก็จะเป็นคนใจเย็น ก็คือต้องสลับกันคนละครึ่งทาง ผ่อนหนักผ่อนเบากัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน แล้วก็จะไม่ทำผิดในเรื่องเดิมๆซ้ำๆอีก
ติดตามข่าวสาร นิตยสารมอเตอร์ไซค์ อัพเดทข่าวสารวงการมอเตอร์ไซค์ แลกเปลี่ยนความรู้ พูดคุย สำหรับคนที่รักสองล้อทุกประเภท
ได้ที่ FB www.facebook.com/MotorcycleMag
เว็บไซต์ www.motorcycmagazine.com