มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า โลกใหม่แห่งยุค 2021
ในตอนนี้ตลาดรถมอเตอร์ไซค์ก็พัฒนาไม่แพ้ตลาดรถยนต์ เนื่องจากผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์อันดับต้นๆ ของโลกหันมาผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ากันอย่างจริงจัง สาเหตุสำคัญก็เพื่อเป็นพลังงานทดแทนน้ำมันที่จะหมดไปในอนาคตและอนุรักษณ์โลกไม่สร้างมลพิษ ที่สำคัญยังแรงสุดๆ อีกด้วย ซึ่งจะมีรุ่นไหนที่เป็นทีเด็ดบ้างมาดูกัน
TARFORM
TARFORM แบรนด์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจากบรู๊คลิน อเมริกาอย่าง TARFORM ที่ได้ปล่อยบิ๊กไบค์ไฟฟ้ารักษ์โลกตัวแรกออกมา จุดเด่นของรถมอเตอร์ไซค์คันนี้คือชิ้นส่วนของรถส่วนมากผลิตจากวัสดุธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้เอง แม้ตัวรถจะคันใหญ่แต่มีน้ำหนักเพียง 200 กิโลกรัมเท่านั้น
ในด้านพละกำลัง มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันนี้เลือกใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังมากถึง 41 kW ส่งกำลังตรงสู่สายพานเพื่อขับล้อให้หมุนโดยไม่มีระบบเกียร์บ๊อกซ์ เก็บกักพลังงานด้วยแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 10 กิโลวัตต์ สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 3.8 วินาที สามารถวิ่งได้ไกล 193 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ราคาอยู่ที่ 24,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือราวๆ 740,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า
Fuell Flow รถไฟฟ้าจาก Erik Buell
Fuell Flow มีมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังขับ 11 กิโลวัตต์เทียบเท่ากับรถขนาด 125 ซีซี หรืออีกเวอร์ชั่นที่ให้กำลังสูงขึ้นเป็นขนาด 35 กิโลวัตต์ เทียบเท่ากับพิกัดสูงสุดของใบขับขี่แบบ A2 ของอังกฤษ โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะอยู่ด้านบนของล้อหลังทำให้มีที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ถึง 50 ลิตร
Fuell เคลมว่า Fuell Flow นั้นสามารถใช้เดินทางในเมืองได้ถึง 200 กม.สำหรับการชาร์จหนึ่งครั้ง (จำเป็นต้องชาร์จที่สถานีชาร์จสาธารณะ) และมีสนนราคาที่ 350,000 บาท (ราคาโดยประมาณ)
Harley Davidson Livewire
Harley Davidson Livewire ขับเคลื่อนโดยมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งเป็นหัวใจหลักของรถคันนี้ สามารถทำความเร็ว 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง ( 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ) ภายในระยะเวลาแค่ 3.5 วินาทีเท่านั้น และแบตเตอรี่ในทุกการชาร์จเต็ม 1 ครั้งสามารถแล่นได้ระยะทางสูงสุดถึง 180 กิโลเมตร และใช้เวลาชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 – 80 % เพียงแค่ 40 นาทีเท่านั้น
Harley Davidson Livewire มาพร้อมกับมาตรวัดความเร็วแบบจอสี TFT เต็มระบบซึ่งสามารถทัชสกรีนได้ มาพร้อมกับฟังก์ชั่นสุดล้ำ Harley-Davidson’s Connect ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับ Smart Phone ของผู้ขับขี่ โดยผู้ขับขี่สามารถดูข้อมูลต่างๆของตัวรถได้ อาทิ ปริมาณแบตเตอรี่ที่ยังคงเหลือและระยะทางที่วิ่งได้ , ระยะทางที่ผู้ใช้รถขี่ไปในช่วงเวลาต่างๆ , ระยะเวลาที่เหลือในการชาร์จแบตเตอรี่ , ระบบ GPS พร้อมแผนที่ และระบบกันขโมยที่ทำงานคู่กับสมาร์ทโฟน โดยราคาค่าตัวของมันอยู่ที่ 29,799 ดอลล่าสหรัฐ ( ยังไม่รวมภาษี ) หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 955,000
Damon Hypersport Pro
Damon Hypersport Pro ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 20 kW ระบายความร้อนด้วยน้ำ เป็นขุมกำลังหลัก โดยที่มอเตอร์ตัวนี้มีขนาดที่ใหญ่กว่า Zero S/F (14.4 kW) H-D LiveWire (15.5 kW) และเป็นรองเพียง Energica Ego ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 21.5 kW โดยที่แบตเตอรี่ของเจ้า Hypersport Pro นั้นสามารถให้กำลังไฟสูงสุดได้ถึง 150 kW ซึ่งส่งผลให้ตัวรถนั้นสามารถทำความเร็วสูงสุดได้แตะ 200 ไมล์ต่อชั่วโมง (321.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) โดยที่แบตเตอรี่หนึ่งก้อนนั้นสามารถวิ่งทำระยะแบบเต็มสปีดได้มากถึง 200ไมล์ (321 กิโลเมตร) หรือจะวิ่งไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเขตเมืองก็จะเพิ่มระบบในการวิ่งได้สูงสุดถึง 300 ไมล์ หรือประมาณ 482 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง
Damon Hypersport Pro ติดตั้งระบบความปลอดภัย Co-Pilot ที่จะเป็นระบบเอไออัจฉริยะที่จะคอยตรวจจับวัตถุรอบๆตัวรถ เพื่อประมวลความเป็นไปได้ที่จะมีวัตถุแปลกปลอมที่จะพุ่งเข้าชนตัวรถ โดยระบบสามารถตรวจจับได้ทั้ง 360 องศา และสามารถจับวัตถุได้ในเวลาพร้อมๆกันมากถึง 64 ชิ้น และสามารถส่งสัญญาณเตือนได้ทั้งแบบระบบสั่นที่แฮนด์รถและสัญญาณไฟบนหน้าจอแสดงผล นอกจากความปลอดภัยแล้วตัวรถยังสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งพักเท้า ชิลด์หน้ารถ และเบาะนั่ง ให้เหมาะสมกับการขับขี่ในหลายๆ รูปแบบอีกด้วย Hypersport นั้นจะเริ่มต้นที่ 24,995 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 756,850 บาท