MV Agusta Enduro Veloce สายลุยระดับพรีเมียม อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี
MV Agusta Enduro Veloce เป็นรุ่นมาตรฐานสำหรับการผจญภัยครั้งแรกของค่ายนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีรุ่นผลิตจำนวนจำกัดอย่าง 2024 LXP Orioli ผลิตเพียง 500 คันเท่านั้น
MV Agusta Enduro Veloce และ LXP Orioli ทั้งสองรุ่นนี้มีเครื่องยนต์ สเปค แชสซี และชิ้นส่วนต่างๆ ที่คล้ายคลึงกัน เครื่องยนต์เป็นแบบ 3 สูบเรียง ขนาดความจุ 931 ซีซี ซึ่งมีขนาดและช่วงชักที่ไม่เหมือนกับรุ่นอื่นๆ ของทางค่ายเลย
สำหรับEnduro Veloce มีเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ราคา 21,998 ดอลลาร์สหรัฐฯ ( ประมาณ 806,570 บาท) ซึ่งมาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน ลูกค้ายังสามารถเลือกยางแบบถนนเรียบหรือยางแบบออฟโรดได้ นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์เสริมมากมาย เช่น กล่องข้าง ไฟส่องสว่างเพิ่มเติม และการ์ดกันล้ม และเมื่อเทียบกับบางรุ่นจาก KTM กับ Husqvarna ลูกค้าต้องเลือกซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเติม
คู่แข่งจะอยู่ในกลุ่มรถขนาด Middleweight โดยมีคู่แข่งอย่าง Aprilia Tuareg 660, Honda Transalp, Suzuki V-Strom 800DE และ Yamaha Ténéré 700 ในรุ่นที่เครื่องยนต์มีขนาดเล็กกว่า ส่วนรุ่นที่เครื่องยนต์ใกล้เคียงกัน ได้แก่ Husqvarna Norden 901, BMW F 900 GS, Triumph Tiger 900 Rally Pro และ Ducati DesertX นอกจากนี้ ยังสามารถมองว่า Honda Africa Twin, Suzuki V-Strom 1050DE และ Kawasaki Versys 1000 LT เป็นคู่แข่งได้อีกด้วย
ด้านขุมพลัง ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 931 ซีซี แบบ 3 สูบเรียง DOHC 4 วาล์วต่อสูบ เพลาลูกเบี้ยวเคลือบ DLC ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่ 81 x 60.2 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 13.4:1 สำหรับเครื่องยนต์ 3 สูบรุ่นใหม่นี้ มีเพลาข้อเหวี่ยงหมุนสวนทางเพื่อหักล้างเอฟเฟกต์ไจโรสโคปิกของการหมุนของล้อเพื่อการควบคุมที่ดีขึ้น ในขณะที่ใช้ตัวถ่วงน้ำหนักตัวเดียวเพื่อลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์
ทางค่ายยังชี้แจงอีกว่าเครื่องยนต์นี้ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงกำลังเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูงด้วยส่วนประกอบต่างๆ เช่น อะลูมิเนียมฟอร์จน้ำหนักเบา สามารถทำรอบเครื่องยนต์ได้สูง เครื่องยนต์มีน้ำหนักเพียง 57 กิโลกรัม ทำกำลังสูงสุด 124 แรงม้า ที่ 10,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 101 นิวตันเมตร ที่ 7,000 รอบต่อนาที และ 85 เปอร์เซ็นต์ของแรงบิดสูงสุดนั้นใช้ได้ตั้งแต่ต่ำที่ 3,000 รอบต่อนาที
โครงสร้างตัวรถเป็นแบบเหล็กกล่องคู่ (double-cradle) ซับเฟรมเหล็กถอดได้ และสวิงอาร์มอลูมิเนียม ระยะฐานล้อ 63.4 นิ้ว องศาคาสเตอร์ 27 องศา และเทรล 4.6 นิ้ว ระบบกันสะเทือนเป็นแบบหัวกลับของ Sachs ขนาด 48 มม. และโช๊คหลัง Monoshock ปรับได้เต็มที่ทั้ง Preload, Rebound และ Compression ช่วงล่างหน้า-หลังมีระยะยุบตัวที่ 8.3 นิ้ว ล้อด้านหน้าเป็นแบบซี่ลวด tubeless จาก Takasago Excel ขนาด 21 x 2.2 นิ้ว มาพร้อมยาง 90/90-21 และด้านหลังแบบซี่ลวด 18 x 4 นิ้ว มาพร้อมยาง 150/70-18
ถัดมาระบบเบรก ใส่คาลิเปอร์ Brembo Stylema เรเดียลเมาท์ 4 ลูกสูบ ดิสก์เบรกหน้าขนาด 320 มม. ส่วนด้านหลังเป็นคาลิเปอร์ Brembo 2 ลูกสูบ จานดิสก์ 265 มม. ระบบ ABS ขณะเข้าโค้งควบคุมโดย Continental MK 100 ทำงานร่วมกับข้อมูลที่ส่งจากจาก IMU 6 แกน
เบาะนั่งเดิมปรับได้ 2 ระดับ ความสูงเบาะต่ำสุดอยู่ที่ 33.5 นิ้ว เบาะสูงสุดอยู่ที่ 34.3 นิ้ว ส่วนระยะห่างจากใต้ท้องรถถึงพื้น อยู่ที่ประมาณ 9 นิ้ว
ด้านระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มีการติดตั้งมาอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบคันเร่งไฟฟ้า ride-by-wire และ IMU 6 แกน ทำให้รถมอเตอร์ไซค์คันนี้มีฟีเจอร์ล้ำหน้าตามมาตรฐานของรถ Adventure นอกจากนี้ ยังมีโหมดการขับขี่ 4 แบบ ได้แก่ Urban, Touring, Off-Road, และ Custom All-Terrain ที่ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งเองได้ตามใจชอบ
ระบบ Traction Control มี 8 ระดับ แบ่งเป็นถนนเรียบ 5 ระดับ ถนนออฟโรด 2 ระดับ และถนนเปียก 1 ระดับ นอกจากนี้ ยังสามารถปิดระบบได้ทั้งหมด ส่วนระบบ Engine Brake Control มี 2 ระดับ, ระบบ Launch Control ช่วยออกตัว, ระบบ Front Lift Control ป้องกันหน้ายก, ระบบ Rear Wheel Lift-Up Mitigation ป้องกันท้ายลอย, Gas Sensitivity (ปรับความไวของคันเร่ง), Max Engine Torque ปรับแรงบิดสูงสุดเครื่องยนต์ และ Engine Response ปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์
หน้าจอแสดงผลมาเป็นแบบสีชนิด TFT ขนาดใหญ่ 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และ Wi-Fi สามารถใช้แอป MV Ride หรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น โทรศัพท์สำหรับการโทรออกและควบคุมเพลง มีช่อง USB 2 ช่อง แบบทั่วไปและ Type C หน้าจอแสดงผลมีความสว่าง อ่านค่าได้ง่าย สามารถปรับแต่งการแสดงผลได้ตามต้องการ ขณะเดียวกันชุดควบคุมที่อยู่ใกล้แฮนด์ทั้งสองฝั่งมีไฟ LED backlit เพื่อการมองเห็นที่ดีในทุกสภาพแสง
เรื่อง : ธราภณ วชิระธรกุล
เรียบเรียงข้อมูลโดย : Motorcycle Magazine
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ Motorcycle Magazine