BMW Story
100 ปี อิสระภาพแห่งการ “โบยบิน”
BMW Time line
1923 : ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 โรงงานผลิตเครื่องยนต์สำหรับ “เครื่องบิน” ที่ชื่อ BMW (Bavarain Motor Works)ได้คิดค้นเครื่องยนต์ 2 สูบนอน “flat-twin” ขึ้นครั้งแรกโดยใช้ชื่อว่า Flink และ Helios และต่อมาได้เปลี่ยนมาใช้ของตนเองคือ BMW ผลิตรถจักรยานยนต์คันแรกคือ R32 ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนที่เป็นเพลา โปรดักท์ที่ออกตามมาในแบบ OHV ได้วางขายในท้องตลาด แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะว่าราคานั้นสูงมาก
ไลน์ผลิตยุคต้น ก็ไม่คาดคิดว้ามันจะยิ่งไปได้ไกลถึงเพียงนี้
แคร้งเครื่องยนต์แบบซิงเกิล ไลน์ผลิตหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ
1935 : SV 4 เกียร์ 750 ซี.ซี. R12 เกิดขึ้น พร้อมกับระบบโช้คอัพที่เป็นไฮดรอลิค…ปีถัดมา BMW ประสบความสำเร็จอย่างมาก กับรถไซด์คาร์ที่มีระบบเพลาขับที่ล้อไซด์จนกองทัพได้สั่งเข้าประจำการในกองทัพนาซี และรุ่นไซด์คาร์นี้ก็สร้างชื่อจากการแข่งขันในหลายรายการ BMW ครองแชมป์รุ่นนี้ยาวนานถึงปี 1954…หลังสงคราม (WW-II) เครื่องยนต์ 245/ 594 มีออกมาหลายรุ่น แต่รุ่นที่สร้างชื่อได้มากที่สุดและเป็นที่ยอมรับกันคือระบบกันกระเทือนหน้า/ หลัง ที่ใช้สวิงอาร์ม แต่เรื่องราคานั้นก็ยังคงแพงอยู่ดี และ BMW สูบตั้งผลิตเป็นรุ่นสุดท้ายในปี 1967 (R27)
เครื่องหมายการค้าของ BMW มันคือรูปแบบของ “ใบพัดเครื่องบิน” ธุรกิจต้นของ BMW
1969 : เครื่องยนต์ 498/ 599/ 746/ ซี.ซี. ได้รับการพัฒนาใหม่หมด โช้คหน้าหันมาใช้แบบเทเลสโคปิค ในรุ่น 898/ 980 ซี.ซี. มีออกมาทั้งในเวอร์ชั่นสปอร์ตและทัวริ่ง และบางรุ่นก็มีแฟริ่งด้วย
1983 : ยุติเครื่องยนต์สูบนอนที่พัฒนามายาวนานถึง 60 ปี รูปแบบใหม่เกิดขึ้นเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง วางตามยาว ระบายความร้อนตัวนํ้า และจ่ายนํ้ามันแบบหัวฉีด แต่ยังคงระบบขับเคลื่อนเพลาไว้เช่นเดิม (K-series) จนผู้ใช้บางคนถึงกับกล่าวว่า เครื่องยนต์ของ BMW ยุคนี้ใช้เทคโนโลยีของญี่ปุ่น แต่อย่างไร BMW ก็พัฒนาจนเป็นเครื่องยนต์ 4 วาล์ว/สูบ และได้กำลังไปสูงถึง 1,081 ซี.ซี.
BMW R1250GS ADVENTURE รถลุยรุ่นที่ขายดีที่สุดของโรงงาน BMW Motorrad ในยุคใหม่
1993 : เครื่องยนต์ 2 สูบนอนถูกเก็บมาปัดฝุ่นอีกครั้งเครื่องยนต์ 850/ 1,085 ซี.ซี. 4 วาล์ว/สูบ หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์และระบายความร้อนด้วยออยล์คูลเลอร์ ขับเพลา และระบบรับแรง “wishbone” คือความลงตัวที่ถูกนำมาใช้ (R-series) แต่ก็ไม่ลืมรถอเนกประสงค์สูบเดียวขนาด 652 ซี.ซี. ขับเคลื่อนโซ่อย่าง F650 ที่ผลิตจากโรงงาน Aprilia ในอิตาลี ส่วนเครื่องยนต์ของ Rotax จากออสเตรีย
ปัจจุบัน : BMW ถือเป็นค่ายที่กำลังประสบความสำเร็จจากยอดขายรถจักรยานยนต์ที่ผลิตออกในหลายเวอร์ชั่น จากพื้นฐานเทคโนโลยีระดับหัวแถวผ่านบล็อกเครื่องรหัส “R” และ “K” ซึ่งยังคงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง โมเดลใหม่ที่เปิดตัวแต่ละครั้งยังคงสร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการได้เสมอมา
BMW R18 เมกะครุยเซอร์ 1802 ซี.ซี. ที่หวนกลับไปหาจิตวิญญาณแท้ๆ ของรุ่นโบราณอย่าง R5 ที่ผลิตในปี 1936
ณ กรุงเทพมหานคร พิศแรกที่รูปทรงคลาสสิค และเด่นที่สมรรถนะของเครื่องยนต์จากโรงงาน “เครื่องบิน” คือจุด “ขายหลัก” ที่เป็นตัวแชร์ตลาด บ้านเราต้อง“มนตร์ดำ” ในยุคปี ’60 ซึ่งเราขอฟังจากปาก “ลุงแปะ” บุคคลากรคนสำคัญ ผู้มีส่วนผักดันวงการรถ “บาวาเรียล” ให้…เบ่งบาน…!?!?!
แป๊ะ แซ่เต็ง ในร้านเห็น R90S คู่สวยครบทั้ง 2 สี
ยุคนั้นใครได้ขี่ 2 รุ่นนี้ ต้องเรียก “เจ้าสัว”
แป๊ะ แซ่เต็ง…มนตร์ดำที่ยังครองใจ
เริ่มรู้จักรถจักรยานยนต์จากเยอรมนีตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ที่จริงจังก็ต้องตอนที่ผมเข้าทำงานที่ “บางกอกโนเวนตี้” ประมาณปี 1960 (2503) ที่เราได้รับการติดต่อให้เป็นเอเย่นต์ของรถจักรยานยนต์ BMW…แต่ก็มีแบรนด์อื่นเข้ามาขายด้วย อาทิ DKW, SACHS, HEIKEN, BMW จากเยอรมนี ส่วนอิตาลีก็มี GILERA และสกู๊ตเตอร์ที่เรียกกันว่า CARPI อย่างไรก็ตามเรื่องยอดขายนั้นไม่มีใครสู้ BMW ได้เลย”
BMW เข้ามาก่อนหน้านั้นแล้ว?
“เจ้าแรกที่เรารถจากเยอรมนีเข้ามาเป็นเจ้าแรกก็ต้อง “นาวาพานิช” ซึ่งเอาเข้าทั้งแบรนด์เยอรมนีอย่าง BMW และแบรนด์อังกฤษอย่าง NORTON/ BSA…ถัดมาก็เป็น “เสริมยนต์” ตรงวรจักร “ตั่งกี๊ง้วน” ตรงถนนเสือป่า 2 เจ้านี้เป็นญาติกัน แต่จำหน่ายเฉพาะ BMW รุ่น 250 ซี.ซี.… “บางกอกโนเวนตี้” ตรงเยาวราช เราเป็นเอเย่นต์ BMW ตั้งแต่ปี 1958 (2501) สุดท้ายก็ “ยนตรกิจ” รับช่วง BMW ตั้งแต่ปี 1969”
แป๊ะ เจริญยนต์ ย่านภูเขาทอง ร้านของตนเอง หลังออกจาก“บางกอกโนเวนตี้” ประมาณปี 1960 (2503)
แต่ละเอเย่นต์จำหน่ายรุ่นอะไรบ้าง…ราคาออกห้างเท่าไหร่?
“นาวาพานิช…เริ่มด้วย R51 รุ่นแรกๆ เป็นรถหลังแข็ง ถัดมาก็เป็น R51/2… R51/3… R68 หน้ากระบอก หลังโช้คสไลด์ รุ่น 250 ซี.ซี. ก็ R25/2…R25/3… R26 ส่วน 600 ซี.ซี. ก็ R69…เสริมยนต์/ ตั่งกี๊ง้วน ขายเฉพาะ 250 ซี.ซี รุ่น R26…บางกอกโนเวนตี้ ขายตั้งแต่ปี 1958 เริ่มที่ R26 ราคา 16,000 บาท…R27 (1961) ราคา 17,500 บาท… R27 (1965) ราคา18,500 บาท รวมทะเบียนด้วยอีก 400-500 บาท พวก 2 ท่อก็ที R50 ราคา 23,500 บาท… R50S ราคา 26,500 บาท…และที่แพงที่สุดคือ R69S ราคา 33,000 บาท…สุดท้าย ยนตรกิจ รับช่วงในปี 1969 ซึ่งถือเป็นยุคสุดท้ายของรถจักรยานยนต์รูปทรงคลาสสิค ขาย R69S (1969) ล๊อตเดียวไม่เกิน 20 คัน ราคาคันละ 35,000 บาท ส่วน 500 ซี.ซี. อีกล๊อตเดียว 25 คัน หลังจากนั้นรถปี 1970 รุ่น R60/5…/6… R75/5…/6 โฉมใหม่สตาร์ทไฟฟ้าก็เข้ามา”
ทีมมนตร์ดำ ไม่ทราบปี แต่เก่าแน่นอน ภาพจาก BMW CLASSIC SIAM ภาพประทับใจระหว่างออกทริป
ยุคนั้นใช้งานแบบไม่สนเส้นทาง ลุยไปได้หมด
จุดเด่นที่ทำให้ชื่อของ BMW เริ่มได้รับความนิยม?
“มันนิ่มนวล ขับขี่สบาย…แต่ความนิยมยังไงตอนนั้นก็สู้รถจาก “อังกฤษ” เค้าไม่ได้ ลูกค้าของ BMW จึงค่อนข้างสูงอายุ ส่วนใหญ่เป็นคนจีนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ รูปทรงรถมันไม่หวือหวา เสียงเงียบๆ และราคาก็เข้าขั้นจัดว่าสูงเอาการ”
BMW มีเฉพาะสีดำรถเปล่า? มีการรวมตัวกันที่บริเวณใดหบ้าง ?
“มีหลายสีนะ เขียว, ขาว, แดง, ฟ้า แต่บ้านเราเอเย่นต์ที่สั่งเข้ามาขายเฉพาะ สีดำ ไม่มีสีอื่นให้เลือก เลยต้องจำใจซื้อเฉพาะสีดำเท่านั้น อย่างที่บอกว่า BMW ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่ค่อยมีเวลาได้ขี่ เท่าที่รวมตัวกันเต็มที่ก็สัก 20-30 คัน เท่านั้น สมัยนั้นก็ต้องสวนลุมพินีฯ คืนวันเสาร์ ตรงพระรูปด้านหน้า แล้วก็ย้ายมาที่หน้าสนามเสือป่า ตรงพระรูปฯ ร.5 ส่วนใหญ่ก็เข้ามาพบปะพูดคุยกัน ดึกๆ ก็แยกย้ายกันกลับ สำหรับทริปยาวๆ ที่เหมาะกับนูปแบบของ BMW นั้นก็มีบ่อย เหนือ ใต้ อีสาน ถ้ามีเวลาก็จะไปกัน เท่าที่จำได้ขึ้นแม่ฮ่องสอนปี 2516 ประทับใจมาก เส้นทางวิบากที่ไม่คิดว่า BMW จะผ่านได้ พวกเราก็ผ่านมาแล้ว”
ปัจจุบัน “ลุงแป๊ะ” ยังคงร่วมมีโอกาสร่วมทริปกับน้องๆ
ถ้าขี่ไม่ไหว ก็มารถยนต์
เวอร์ชั่นตัวท๊อปสำหรับแบรนด์ BMW?
“R68…ทั้งรูปทรงและเครื่องยนต์ได้รับการกล่าวขวัญว่าดีที่สุดที่ BMW เคยทำมา รูปทรงที่น่าเกรงขามของรถหน้ากระบอก หลังสไลด์ นั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว เรื่องเครื่องยนต์มีการพัฒนาว่ามีความสมดุลย์ (Balance) ดีมาก บ้านเรายุคหนึ่ง “นาวาพานิช” นี่สั่งเข้ามาจำหน่ายมากเหมือนกัน กระทั่งไซด์คาร์เปล่าก็มีเข้ามา แต่ที่ไม่ค่อยได้ผ่านตาก็เพราะถูกขายออกไปญี่ปุ่นเสียมาก กระทั่งเจ้าของที่เค้ามีตังค์ ซื้อเก็บไว้หลายๆ คัน รถมันเลยไม่ออกมาวิ่งให้เห็น”
ปัจจุบัน BMW ยังคงได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นของรถจักรยานยนต์คลาสสิค?
“เวลา…มันเป็นข้อพิสูจน์ได้เอง เราไม่ต้องไปโปรโมท หรืออ้อนวอนให้เค้าซื้อ คุณภาพของรถเมื่อเปรียบเทียบในปีเดียวกัน ไม่มีใครสู้ BMW ได้ คนที่เค้าเล่นเค้าก็รู้ ก็ขี่รถด้วยกัน มีแบรนด์อื่นๆ ไปด้วยกัน 2-3 ทริป ก็รู้แล้วว่า คันไหนดี แบรนด์ไหนเด่น สุดท้ายผู้ใช้ก็ตัดสินใจเอง”
แล้ว…ทำไมอะไหล่ BMW ออกห้าง ราคาถึงแพงมาก?
“แพงจริงๆ ก็ยอมรับ แต่ถามว่าใช้งานได้นานเท่าไหร่…20-30 ปี ไม่มีพัง อย่างนี้แล้วมันคุ้มค่าหรือเปล่า คนส่วนใหญ่กลัว BMW ที่มัน “แพง” เพราะต้องจ่ายเงินก่อนแรกที่ค่อนข้างมากโข ไม่มองถึงความ“คุ้มค่า” ที่ตามมา ซึ่งบางทีเจ้าของรถตายไปแล้ว รถมันยังไม่พังเลย”