Vintage Motorcycle Helmet
ชีวิตปลอดภัย ใส่ “กระดอง” หุ้ม “กบาล” (1)
หมวกกันน็อก (Helmet) นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัย “อียิปโบราณ” อุปกรณ์ป้องกันศรีษะสำหรับนักรบ “ฝ่ายบู้” เพื่อป้องกันอากาศบาดเจ็บจากอาวุธของฝ่ายอริราชศัตรู จากอดีตกาล…ถึง…ปัจจุบัน “หมวกกันน็อก” นั้นวิวัฒนาการจนเกิดเป็นวัฒนธรรมสำหรับ “สังคมอเตอร์ไซค์” ไปแล้ว และด้วยเทคโนโลยีที่เกิดควบคู่นั้นก็ก้าวล้ำไกลเกินกว่าที่ใครจะคาดเดา ไม่ว่าหมวกกันน็อกราคา “หลักร้อย” กระทั่ง “เรือนแสน” ทว่า ยังคงให้ผลเรื่องการป้องกัน “กบาล” ให้แคล้วคลาด ปลอดภัย ในท้ายสุด หนนี้ “หมวกวินเทจ” คือ “อาหารสมอง” ที่เราอยากเข้าไปปรับโฟกัสให้มันชัดๆ หน่อย!!!
“Football helmet” ใช้สำหรับการแข่งขันทางฝุ่นในอเมริกาตั้งแต่สมัยปี 1900 มันทำจากแผ่นหนังเย็บ ไม่มีส่วนของกะดองแข็งป้องกัน
ยุคต้นเลยสังเวยด้วยชีวิตนักแข่งไปหลายคนหมวกนักบินขับไล่ยุคต้น จริงๆ ออกแบบให้ป้องกันอากาศที่เย็นเมื่อขึ้นบินเท่านั้น ยุคหนึ่งมันถูกจับมาใช้แทนหมวกกันน็อก
พร้อกับแว่นกันฝุ่นเลนส์ใส
Introduction : หมวกกันน็อกจากยุค “อียิปโบราณ” นั้นคือ “ต้นกำเนิด” ทว่า รูปแบบตัวหนังสือที่เป็นลายลักษณ์นั่นคงไม่กระจ่าง ภาพโฟกัสของเรา…เลย…ขอขยับเข้ามาในยุคของสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เกิดขึ้นจากพันธะกิจของภาวะสงครามที่เริ่มก่อตัว “หมวกเหล็ก” ของทหารคือต้นแบบที่หยิบมาปรับใช้สำหรับ “สิงห์มอเตอร์ไซค์” ในยุคปี 1920 ที่เป็นลักษณ์เบื้อต้นถูกผสมเข้ากับหมวกนักบินที่เป็นหมวกปีกหนัง ที่เชื่อมส่วนของหนังยาวลงมาเพื่อปิดหู ป้องกันอากาศหนาวของนักบินเครื่องบินรบ ซึ่งยุคต้น สินค้าเพื่อการป้องกันนี้ ถูกผลิตขึ้นในยุโรป โดยเฉพาะ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี และ เยอรมนี เหตุจากวัตถุดิบที่มีมากอย่างเหลือเฟือ...1930 ผู้ผลิตหมวกกันน็อก ทุ่มตลาดด้วยไลน์ผลิตหลักที่ถูกป้อนให้กับรัฐบาล เพื่อใช้ในภาระกิจสนับสนุนกองทัพทหารและ ตำรวจ โดยเป็นรูปทรงของถ้วยขนม (Pudding-Style Helmet) และยังคงใช้รูปแบบนี้ผลิตต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน
Floyd Clymer Motors ตัวแทนจำหน่ายหมวกกันน็อกใน LA.
ที่ตอนนั้นเป็นเพียงผู้นำเข้าจาก อังกฤษ และ ฝรั่งเศส และจำหน่ายในนามของ Clymer Crash Helmet ในปี 1932Cromwell ผู้ผลิตเจ้าดังในยุค กับหมวก
กระดอง “ไปเบอร์กลาส” ที่เปิดตัวรุ่นแรกในปี 1948
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW-II) หมวกกันน็อกถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของ “แฟร์ชั่นสังคม 2 ล้อ” หมวกกันน็อกได้รับอิทธิพลมาจากอุปกรณ์กีฬา “The Corker” หมวกกีฬาโปโล (ขี้ม้า) ถูกกลุ่มสังคมสกู๊ตเตอร์ของอังกฤษที่เรียกว่า “Mods” นำมาตกแต่งเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่น พร้อมกับเสื้อสูทหรูแบบเนี๊ยบเข้ารูป เฉกเช่นเดียวกับหมวกกันน็อกจากกีฬาอเมริกันฟุตบอล (Football/ Jet Style) ที่มาพร้อมแจ็คเก็ตหนังสีดำ ถูกกลุ่มขั้วตรงข้ามในนาม “Rocker” หยิบจับมา…ซ่าส์!!!
The “Lacinia” วัสดุไฟเบอร์ ร่วมกับหนัง และเริ่มมีการตกแต่งและให้สีสันที่สวยงาม จากแบรนด์ผู้ผลิตอิตาลีนาม A.G.V. ออกจำหน่ายในยุคกลางปี 1960 The “Manx” จากผู้ผลิต J.Compton, Son & Webb กระดอกหมวกทำจากไฟเบอร์กลาง แก๊ปและสายรัดคางใช้หนังแท้ เย็บอย่างแน่นหนา (ออกจำหน่ายในปี 1956)
1930-1953 Crash Helmet Era : หมวกกันน็อก “Crash Helmet” เริ่มมีบทบาทครั้งแรกในการแข่งขัน “โมโตครอส” ราวปี 1930 จากวิวัฒนาการของทีมงานผู้สร้างรถจักรยานยนต์ที่สามารถพัฒนาเครื่องยนต์ที่มีแรงม้าเพิ่มสูงมากขึ้น ทำให้อุบัติเหตุจากการแข่งขันก็มีเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว การสูญเสียบุคลากร นักแข่ง จากกการแข่งขันเกิดขึ้นบ่อย จนทำให้เกิดเป็นข้อกำหนดจาก A.M.A. ต้องบังคับให้นักแข่งทุกคนต้องใส่หมวกกันน็อกที่มีลักษณ์เป็นกระดองแข็ง ปกป้องศีรษะแทนการใช้หมวกแบบแผ่นหนังเย็บเข้าทรงกับแว่นตาเลนส์ใสที่ทำจากแผ่นหนังเช่นกัน
Bell 500-TX นี่คือตำนานของหมวกยุคใหม่ รูปทรง Jet-Style ด้วนรูปทรงที่เน้นความเป็นสปอร์ต
และมีเรื่องของงานศิลปะเข้ามาร่วมด้วยคุณสมบัติของไฟเบอร์กลาส และระบบรองรับที่นุ่มนวลภายใน
แน่นอนมันได้รับความนิยมอย่างมากทั้ง 2 ล้อ 4 ล้อ แถมยังสามารถผ่านการทดสอบของ Snell Memorail Foundation
ได้เป็นยี่ห้อแรกเริ่มด้วย ผลิตโดย Bell Helmet Co. ในปี 1957
ยุคต้นของการแข่งขันในแบบ “Dirt Track” ในอเมริกา นักแข่งใช้หมวกกันน็อกที่หยิบจับมาจากกีฬาฟุตบอล เมื่อเปลี่ยนมาใช้กฎเหล็กที่ A.M.A. บังคับ ในอเมริกาเองจึงไม่มีผู้ประกอบการผลิตหมวกกันน็อกเอง เป็นเพียงตัวแทนนำเข้ามาจำหน่ายจากยุโรปในนามของกลุ่ม Floyd Clymer Motors ในลอสแองเจลีส ซึ่งถือเป็นเจ้าแรกที่นำเข้าหมวกกันน็อกแบบกระดองแข็ง (Hard Shell) ในปี 1932 แบรนด์คุณภาพตอนนั้นนำเข้าจากอังกฤษและฝรั่งเศส ประกอบด้วย Beck และ Cromwell
Bell คือ สุดยอดหมวกกันน็อกในยุคปี 1970 ทว่า Simpson คือ “ซูเปอร์กันน็อก” ที่ดีที่สุดที่หาได้ในยุคนั้น
เพราะเกิดขึ้นเฉพาะกิจสำหรับการแข่งขันที่มีความเร็วสูงสุด อาทิ F1/ NASCAR คุณภาพของวัตถุดิบและความปลอดภัยจึงต้องดีเลิศ
ในรุ่นใกล้เคียงกัน Bell เปิดราคาอยู่ที่ 95 $ แต่การผลิตภายใต้แบรนด์ของ Simpson จะดีดราคาขึ้นไปถึง 165 $ (1983) ทีเดียว
อย่างไรก็ตาม รูปแบบของหมวกกันน็อกที่ถือว่าเป็นการปฏิวัติหน้าตาออกไปอย่างสิ้นเชิง นั้นต้องรอถึงราวปี 1954 เมื่อ Bell Auto Part ของอเมริกา นำเสนอหมวกกันน็อกหน้าตาที่ต่างออกไป โดยได้บันดาลใจจากหมวกกันน็อกของนักบินแห่งกองทัพอเมริกันอันเกรียงไกร U.S. Air Force หมวกรูปทรงใหม่ที่เรียกว่า “Jet-Style” มันได้รับการตอบรับจากเหล่าสาวกมอเตอร์ไซค์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะรุ่น “Bell 500” หมวกกันน็อกที่เป็นซิกเนเจอร์ของโรงงาน ได้รับความนิยมในวงการ Motorsport ได้รับการรับรองว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับการแข่งขัน Mexican Autobobile Road Race ในปีนั้นเอง และขยายความดังสู่วงการ NASCAR และ F-1 ก่อนที่หมวกกันน็อกแบบที่เรียกว่า “เต็มใบ” (Full Face) จะได้รับการพัฒนาต่อยอด จากแบรนด์การค้าดัง อาทิ Arai, Shoie และ Simson
กระเป๋าใส่หมวกกันน็อกสมัยนั้นแพงกว่าหมวกกันน็อกซะอีก เพราะทำจากหนังคุณภาพเยี่ยม และสามารถนำมาใช้สอยร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟร์ชั่น Motor Sport ได้ด้วย
“MetalFlake” หมวกกันน็อกที่เกิดขึ้นในยุคของ “ช็อปเปอร์” แบ่งบาน มักเน้นในสีสันของเกร็ดสะท้อนแสงที่สดใส มันเป็นลวดลาย เฟลวไป ดาว สายฟ้า ธงชาติ และเส้นสีฉวัดเฉวียนที่สวยงาม ได้รับการผลิตเป็นทางเลือกในทุกเครื่องหมายการค้า และได้รับความนิยมสูงสุดในยุคปี 1970 จากภาพยนตร์เรื่อง “Easy Rider”
Vintage or New : ใบไหน…เก๋า…?? ใบไหน…ใหม่…?? ข้อถกเถียงที่ถูกจำแนกหลังจากที่มีหน่วยงานหนึ่งที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อนตรวจสอบและรับรองคุณภาพของ…หมวกกันน็อก!!! Snell Memorail Foundation เริ่มก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1957 กลุ่มคนที่ศึกษาและค้นหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อลดการสูญเสียชีวิตจากท้องถนน “หมวกกันน็อก” ที่มีคุณภาพนั้นตอบโจทย์นี้ได้ เมื่อผู้ผลิตรถจักรยานยนต์-รถยนต์ มีการพัฒนาเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณภาพของเครื่องป้องกันศีรษะก็จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน “Snell” จะเป็นผู้กำหนดค่ามาตรฐานต่างๆ รวมถึงการตรวจสอบ ทดสอบ อย่างเข้มงวด สำหรับผู้ผลิตหมวกกันน็อกแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่กล่าวมา เราจึงไม่มีโอกาสเห็นหมวกกันน็อกหน้าตาประหลาดแบบเอเลี่ยนหรือหมวกที่มีขนาดแปลก…จำหน่าย…ในสารบพ!!!